ปัจจุบันเราใช้ ศ ษ ส ตามแบบภาษาไทยบาลีสันสกฤต คำที่เราถือว่ามาจากภาษาบาลี จะใช้ ส เพราะภาษาบาลีไม่มี ศ และ ษ มีแต่ ส ส่วนคำที่เราที่เราถือว่ามาจากภาษาสันสกฤตจะใช้ ศ ษ หรือ ส แล้วแต่ว่าภาษาสันสกฤตใช้อักษรตัวใด แต่ในสมัยก่อนไทยใช้ ศ ษ ส ตามแบบของไทยเราเอง
ปัญหาเกี่ยวกับการใช้ ศ ษ ส เกิดขึ้นเพราะภาษาสันสกฤตออกเสียงพยัญชนะ ศ ษ ส ต่างกัน
ศาสตราจารย์ ดร.คุณบรรจบ พันธุเมธา อธิบายการออกเสียง ศ ไว้ว่า .... ศ ของสันสกฤตเป็นเสียงพยัญชนะอุอสุม(ไอน้ำ) เกิดโดยการใช้ลิ้นแตะเพดานแข็งให้มีเสียงเสียดแทรกออกมาคล้ายเสียง sh เวลา ศ ควบคู่มากับพยัญชนะอื่น จึงมักเป็นพยัญชนะวรรค จ เป็น ศฺจ โดยมาก
(บรรจบ พันธุเมธา, ๒๕๑๖ : ๖๖)
ส่วน ษ และ ส คุณบรรจบอธิบายว่า ษ เป็นพยัญชนะซึ่งฐานที่เกิดเป็นฐานยอดเพดานที่เรียกว่า มุทธชะ ในการออกเสียง ษ ต้องม้วนลิ้นแตะลึกเข้าไปเกือบถึงกลางเพดาน แล้วจึงปล่อยลมให้เสียดแทรกออกมา ส เป็นพยัญชนะซึ่งฐานที่เกิดเป็นฟันที่เรียนว่า ทันตชะ ในการออกเสียง ส ใช้ปลายลิ้นแตะข้างหลังฟัน ให้เสียดแทรกออกมาตามไรฟัน
เมื่อคนไทยนำ ศ ษ ส มาใช้แต่ออกเสียงอย่างคนอินเดียไม่ได้ จึงออกเสียงเหมือนกันหมดเป็น [ส] ในเมื่อเสียง [ส] เสียงเดียวใช้พยัญชนะแทนได้ถึง ๓ รูป คนไทยจึงมีปัญหาในการเขียนโบราณาจารย์ของไทยได้ให้หลักการใช้เพื่อช่วยให้จำได้และเขียนถูกบ้าง
พระวรเวทย์พิสิฐ ให้หลักว่า โบราณใช้ ส เป็นพยัญชนะต้น ษ เป็นตัวการันต์ ศ เป็นตัวสะกด ท่านเขียนว่า ....... ตัวพยัญชนะ ๓ ตัวนี้มีเสียงไม่เหมือนกัน .... เราว่าเสียงตัว ส ได้สะดวก แต่ ศ กับ ษ ต้องหัด อยู่ข้างลำบาก เพราะฉะนั้นโบราณจึงวางหน้าที่ตัวพยัญชนะ ๓ ตัว ไว้ดังนี้
ส ใช้เป็นตัวตั้ง หรือพยัญชนะต้น เช่น สาร , สวรรค์ ,สุข เพราะไม่ต้องลำบากในการต้องฝึกทำเสียง ไทยเราก็ออกเสียงได้สะดวกอยู่แล้ว
ษ ใช้เป็นตัวการันต์ เช่น พงษ์ , วงษ์ , หงษ์ เพราะไม่อ่านออกเสียงตัวการันต์ หนังสือเก่าใช้ ษ การันต์ เช่นนี้ทั้งนั้น เพิ่งจะมาเปลี่ยนเป็น พงศ์ , วงศ์ , หงส์ ในยุคใหม่นี้เอง
ส่วน ศ โบราณใช้เป็นตัวสะกดในมาตรา กด แม้แต่รูปเดิมใช้ ษ สะกด ก็เปลี่ยนเป็น ศ เช่น พิศม์ เป็นต้น ในคำไทยก็มีเป็นอันมาก เช่น พิศ , เลิศ , และถ้ามีคำต่อท้ายก็มักอ่านออกเสียง สะ ครึ่งเสียง เช่น พิศดู , เลิศล้น เสียงเช่นนี้จึงเคยกันมา ถ้าอ่านว่า พิศ-ดู เลยเข้าใจว่าเป็น ๒ คำไป
( พระวรเวทย์พิสิฐ, ๒๕๐๒ : ๖๐)
ปัจจุบันการใช้ ศ ษ ส เปลี่ยนไป หันไปอิงหลักภาษาบาลีสันสกฤต ดังที่พระวรเวทย์พิสิฐ อธิบายว่า .... เราเลิกใช้ ศ ษ ส อย่างโบราณ แล้วหันเข้าหาหลักภาษาที่ถูกต้องตามหลักวิธีบาลีสันสกฤต เพราะฉะนั้นการเขียนคำในปัจจุบันนี้ จึงต่างกับของโบราณ คือคำเดิมเป็นรูปอย่างไร เราก็เขียนรูปเช่นนั้น เพื่อเห็นรูปคำจะได้เข้าใจว่าเป็นคำอะไร เช่น พงษ์ ภาษาสันสกฤตใช้ ศ บาลีใช้ ส เรานิยมใช้รูปคำสันสกฤต เราจึงเขียนเป็น พงศ์ หรือ วงศ์ ส่วนคำว่า หงษ์ ของโบราณ สันสกฤตเป็น หนฺส บาลีเป็น หงฺส เราจึงใช้ หงส์ ตามรูปเดิม แต่อย่างไรก็ดี เรายังนิยมใช้ ศ เป็นตัวสะกดอยู่หลายคำ เช่น พิศ และ เลิศ เป็นต้น
( พระวรเวทย์พิสิฐ, ๒๕๐๒ : ๖๑)
การใช้ ศ ษ ส ตามหลักวิธีบาลีสันสกฤตดังกล่าวนี้ได้เลิกใช้ไประยะหนึ่งระหว่าง พ.ศ. ๒๔๘๕-๒๔๘๗ สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม รัฐบาลไทยสมัยนั้นกำหนดให้ใช้ ส เพียงรูปเดียว แต่เมือ่พ้นระยะเวลาดังกล่าว อักขรวิธีของไทยก็กลับไปเหมือนเดิม มีการใช้ทั้ง ศ ษ และ ส ตามหลักวิธีบาลีสันสกฤต
เอกสารอ้างอิง
คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน , สำนักงาน. ๒๕๕๑. หนังสืออุเทศภาษาไทย ; ภาษาไทยน่าศึกษาหาคำตอบ.
กรุงเทพฯ : องค์การค้า สกสค.
บรรจบ พันธุเมธา. ๒๕๑๖. บาลีสันสกฤตในภาษาไทย. พระนคร : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยราคำแหง.
วรเวทย์พิสิฐ, พระ. ๒๕๐๒. หลักภาษาไทย. พระนคร : โรงพิมพ์วิทยาลัยเทคนิค.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น