การอ่านเป็นทักษะที่สำคัญและจำเป็นต่อการเรียนรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ของนักเรียนในแต่ละระดับชั้น ตลอดจนเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการเรียนรู้ในระดับชั้นที่สูงขึ้น แต่ปัจจุบัน พบว่ายังมีนักเรียนบางส่วนที่ยังอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ตามวัยและระดับชั้น ดังนั้นการพัฒนาให้นักเรียนมีทักษะการอ่านออกเขียนได้ จึงถือเป็นภารกิจสำคัญที่สถานศึกษาทุกแห่งต้องเร่งดำเนินการ
สำหรับข้อเสนอแนะและกิจกรรมเสนอแนะดังกล่าวต่อไปนี้ ครูอาจพิจารณาปรับใช้กับนักเรียนปกติในชั้นเรียนที่ต้องการปรับปรุงทักษะการอ่านพื้นฐานในโปรแกรมการอ่านเพื่อพัฒนา (Developmental Reading Program) และนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการอ่านค่อนข้างสูง ซึ่งต้องแยกไปเข้ารับบริการสอนซ่อนเสริมในคลินิกหรือห้องปฏิบัติการทางการอ่านในโปรแกรมการสอนอ่านซ่อมเสริม (Remedial Reading Program) การแก้ไขข้อบกพร่องทางการอ่านประกอบด้วย การแก้ไขทักษะต่อไปนี้คือ
การจำคำ
การจำคำ หมายถึง กระบวนการมองเห็นและการชี้พิสูจน์คำ ทำให้ผู้อ่านรู้จักรูปคำหรือลักษณะของคำ สามารถออกเสียงคำและรู้ความหมายของคำได้ในทันทีที่อ่าน
๑) การแนะคำด้วยรูปภาพ
การแนะคำด้วยรูปภาพ หมายถึง การใช้รูปภาพช่วยแนะความหมายของคำที่อ่าน
ปัญหา การมีความรู้และประสบการณ์เดิมน้อย ทำให้นักเรียนขาดความสามารถทางการอ่าน
ข้อเสนอแนะ ครูอธิบายว่า ภาพประกอบบทอ่านมีส่วนสำคัญช่วยให้นักเรียนอ่านเข้าใจมากขึ้น ก่อนอ่านบทอ่านจึงควรสำรวจรูปภาพหรือแผนภูมิต่างๆ
๒) การแนะคำด้วยรูปคำ
การแนะคำด้วยรูปคำ หมายถึง การใช้รูปร่างคำซึ่งมีลักษณะสูง – กลาง – ต่ำ ช่วยแนะให้จำคำได้ง่ายขึ้น
ปัญหา นักเรียนบางคนไม่สามารถอ่านคำออก หรือไม่สามารถจำคำที่ยาวหรือมีจำนวนพยางค์มากและยากได้
กิจกรรมเสนอแนะ ครูอาจฝึกเด็กให้รู้จักตีกรอบตามรูปคำ โดยจัดทำรายการคำที่เรียงลำดับจากคำง่ายไปสู่คำยาก รูปร่างคำที่มีระดับสูงต่ำเป็นคำที่รับรู้ง่ายกว่ารูปร่างคำที่มีระดับเท่าๆกัน
๓) ความรู้ทางคำคุ้นตาหรือคำศัพท์พื้นฐาน
ความรู้ทางคำคุ้นตาหรือคำศัพท์พื้นฐาน หมายถึง การรู้ความหมายของคำ คำศัพท์ทั่วไปที่ควรรู้ในระดับชั้นนั้นๆ ได้อย่างอัตโนมัติ ในทันทีที่ใช้สายตามองดู
ปัญหา การมีความรู้ทางคำศัพท์พื้นฐานน้อยทำให้อ่านช้าลงและเข้าใจบทอ่านได้ยาก ลักษณะของเด็กที่มีปัญหาไม่สามารถอ่านคำได้คล่องเป็นคำคุ้นตา ได้แก่ การอ่านเป็นคำๆ การอ่านโดยไม่เว้นวรรคตอน การอ่านคำอย่างลังเลใจ การออกเสียงคำผิด การอ่านเป็นคำอื่นแทน
กิจกรรมเสนอแนะ
ก. ผลิตพจนานุกรมรูปภาพที่มีลักษณะเป็นดัชนีเรียงลำดับตามตัวอักษรและรูปภาพประกอบคำศัพท์
ข. ใช้บัตรคำ ด้านหน้ามีรูปภาพและด้านหลังมีคำ ครูสอนให้ออกเสียงคำและเด็กออกเสียงตามพร้อมกับเขียนลากเส้นไปตามคำจนจำคำได้โดยไม่ต้องดูรูปภาพ ฝึกและทบทวนบ่อยๆ ทำให้สามารถจำคำได้
ค. จับคู่คำกับภาพและคำ ด้านหน้ามีภาพ 1 ภาพ และด้านหลังมีคำ 2-3 คำที่สะกดคล้ายกัน ให้เด็กเลือกให้ตรงกับภาพ
ง. ติดบัตรคำ ได้แก่ ไว้ที่ประตู ฝาตู้ หน้าต่าง รูปภาพ บอร์ด เพื่อให้เห็นความสัมพันธ์ของคำและวัตถุ
จ. ทำบัตรคำ แถบวลี และประโยค ฝึกให้อ่านเร็วจากบัตรคำ
๔) ความรู้เกี่ยวกับชนิดของคำ
ความรู้เกี่ยวกับชนิดของคำ หมายถึง การรู้จักชนิดของคำ 8 ชนิด ได้แก่ คำนาม คำสรรพนาม คำกริยา คำกริยาวิเศษณ์ คำบุพบท คำวิเศษณ์ คำสันธาน และคำอุทาน
ปัญหา การที่นักเรียนมีความรู้เกี่ยวกับชนิดของคำน้อย ทำให้อ่านเข้าใจยากว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร เพราะอะไร
ข้อเสมอแนะ ครูควรสอนทำให้เข้าใจกับชนิดของหน้าที่ของคำในประโยค เมื่ออ่านบทอ่านไม่เข้าใจ นักเรียนจะได้รู้จักวิเคราะห์คำ วลี และประโยคได้ว่า แต่ละคำเป็นคำชนิดใด ทำให้เข้าใจความหมายของประโยคได้ดีขึ้น
๕) การสะกดคำอ่าน
ปัญหา นักเรียนบางคนติดนิสัยอ่านแบบสะกดคำแล้วจึงอ่านออกเสียงเป็นคำออกมา ทั้งๆ ที่สามารถอ่านออกเสียงคำนั้นได้หรือทราบความหมายของคำนั้น ทำให้เสียเวลาและที่สำคัญ ทำให้ความคิดความเข้าใจในการอ่านไม่ต่อเนื่อง
ข้อเสมอแนะ เช่นเดียวกับข้อ 1)
การจำคำ การเขียนตัวอักษรกลับด้านและตัวอักษรกลับทิศทางในคำ
ปัญหา นักเรียนระดับประถมศึกษาตอนต้นที่เริ่มเรียนอ่าน รวมทั้งนักเรียนที่มีปัญหาทางการอ่าน ได้แก่ ดิสเล็คเชีย มักจำคำสับสน และเขียนคำหรือตัวอักษรกลับด้าน
กิจกรรมเสนอแนะ
ก. ให้อ่านคำจากบัตรคำ แล้วให้ใช้นิ้วเขียนลากไปตามคำ พร้อมกับออก เสียงคำซ้ำหลาย ๆ ครั้ง หลังจากนั้นให้อ่านในแถบประโยค
ข. ติดแถบประโยคบนกระดาน แล้วค่อยๆเลื่อนแถบประโยคจากซองไปทางซ้ายทีละน้อยให้เห็นทีละคำ
ค. แสดงบัตรคำให้ดู ระบายสีตัวอักษรแรกของคำ
ง. แสดงบัตรคำให้ดู ตีกรอบตัวอักษรแรกหรือตัวอักษรที่เป็นปัญหาของคำให้ชัดเจน หรือตีกรอบรูปร่างคำ